Header Ads

Sunday, October 8, 2017

เดินตามรอยพ่อ ชีวิตพอเพียง เพื่อสุขเพียงพ


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้คนไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2517 ดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ความว่า
"…การพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อพื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้..."


"เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่จำเป็นต้องต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์หรือสิ่งทันสมัยต่างๆ ทุกคนในสังคมสามารถนำไปใช้ได้ แต่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการใช้จ่ายอย่างขี้เหนียว การห้ามเป็นหนี้ การยอมรับสภาพ หรือการไม่ขวนขวายทำสิ่งใด ความหมายที่ลึกซึ้งของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การคำนึงถึงความพอประมาณ คือ ให้ทำอะไรด้วยความพอดี ไม่มาก หรือน้อยเกินไป และต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ดำเนินชีวิตให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง เปรียบเสมือนการสร้างเสาเข็ม สร้างฐานให้แข็งแรงมั่นคง ไม่ว่าพายุใดๆ เข้ามา หรือจะต่อเติมสร้างเพิ่มในภายหลัง บ้านก็จะยังคงยืนหยัดอยู่ได้
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ทีมข่าวบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ขอกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม ขอนำเสนอบุคคลต้นแบบของวงการบันเทิง ที่ได้นำพระราชดำรัสเรื่อง การกินอยู่อย่างพอเพียง มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
หลายคนมักเข้าใจว่า การใช้ชีวิตพอเพียง มีความหมายแค่การอยู่อย่างประหยัด ไม่ใช้เงินเยอะ ไม่ช็อปปิ้งบ่อย และไม่ใช้เงินในสิ่งที่ไม่จำเป็น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การใช้ชีวิตพอเพียงนั้นอาจครอบคลุมไปถึงวิธีคิด วิธีตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมกับตัวเรา โดยไม่ได้มุ่งหวังความร่ำรวยในบั้นปลาย แต่มีเป้าหมายคือ ความสุขที่ยั่งยืนที่ไม่มีวันสูญหาย ไม่ว่าเงินในกระเป๋าจะเพิ่มหรือจะลดลง

ปอ ทฤษฎี พระเอกภูธรตามรอยพ่อหลวง
เริ่มต้นกับพระเอกผู้ล่วงลับที่หลายคนตั้งฉายาให้ "พระเอกภูธร" ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ที่แม้ตัวจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ความดีนั้นยังอยู่เป็นที่จดจำในใจของใครหลายคน ฝากผลงานการแสดงไว้อย่างมากมายเมื่อคราวที่ยังมีชีวิตอยู่ และสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเป็นพระเอกที่ไม่ถือตัว และติดดิน
จากการเล่นละครเรื่อง "ผู้ใหญ่ลีกับนางมา" ปอได้เปลี่ยนแรงบันดาลใจของชาวนาในละครสู่ชาวนาในชีวิตจริง โดยใช้พื้นที่ที่บ้านเกิด คือจังหวัดบุรีรัมย์ มาทำไร่นาสวนผสม โดยตั้งชื่อว่า "ไร่นาป่าสงวน" ผืนนาแห่งนี้มีที่ดินจำนวนทั้งสิ้นกว่า 57 ไร่ ตั้งอยู่ในบ้านหนองค่าย ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของครอบครัวสหวงษ์ไปเล็กน้อย ปอ ทฤษฎี ตั้งใจซื้อผืนนาแห่งนี้เก็บไว้เพื่อรองรับอาชีพนักแสดงและงานในวงการบันเทิงที่อาจไม่ยืนยาว และส่วนหนึ่งก็ตั้งใจซื้อให้คุณพ่อสงวน สหวงษ์ หลังจากเกษียณอายุราชการ แม้จะเป็นทรัพย์สมบัติของครอบครัวสหวงษ์ หากแต่สิ่งที่พระเอกหนุ่มคนนี้ต้องการฝากทิ้งไว้อย่างแท้จริงนั่นคือ การสืบทอดแนวคิดการทำการเกษตรแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
"ไร่นาป่าสงวน" แห่งนี้ พระเอกหนุ่มได้จัดสรรพื้นที่สำหรับปลูกข้าวจำนวน 10 ไร่ และดำเนินการตามแนวไร่นาสวนผสม โดยบริเวณคันนายังได้ปลูกพืชชนิดอื่นแซมไว้ ได้แก่ กล้วย ยางนา พื้นที่บางส่วนแบ่งปลูกยางพารา มะพร้าว พืชสวนอีกหลายชนิด เช่น ผักบุ้ง ผักกาด ฯลฯ และมีการขุดบ่อเลี้ยงปลา พร้อมกับปลูกบ้านหลังเล็กๆ ไว้สำหรับพักผ่อนของครอบครัว 1 หลัง โดย ปอ ทฤษฎี เคยเปิดเผยผ่านรายการ ทูไนท์โชว์ ว่า
"หลังจากผมซื้อที่มาแล้วก็เริ่มลงมือปรับหน้าดินเอง ขุดสระไว้กักเก็บน้ำและข้าง ๆ ก็ทำเป็นถนน จะบอกว่าสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดนี้ ผมทำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของการแบ่งพื้นที่ไร่นา สวนผสม แบบสัดส่วน 30:30:10 เช่น ลูกตาลที่ได้จากต้นตาลถ้าเหลือกินเหลือใช้ก็จะเอาไปแบ่งให้คนอื่น เพราะไม่ได้ปลูกและมีพอให้ขาย ส่วนสระน้ำจะขุดเป็น 2 สระ โดยสระแรกเอาไว้ทำการเกษตร เพราะสิ่งแรกที่ต้องมีก็คือต้นทุน คือ น้ำ หากจะปลูกอะไรก็ต้องใช้น้ำและเลี้ยงปลาไปด้วย ที่สำคัญคือภาคอีสานเป็นภาคที่แห้งแล้ง แต่มีแค่สระเดียวก็เก็บน้ำไม่พอต้องขุดสระ 2 เอาไว้ผันน้ำเพื่อใช้ให้ทั่วถึง"
นอกจากนี้ ปอ ทฤษฎี ยังได้แบ่งพื้นที่บางส่วนให้ชาวนาได้ทำนาโดยไม่คิดค่าเช่าอีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ไม่ได้คิดค่าเช่าที่นา แต่ชาวนาก็เอาข้าวมาให้เรา มันคือการให้โอกาสคน ถ้าเก็บไว้ทำเองมันคงไม่ได้อะไรเยอะ แบ่งกันทำแบ่งกันกินจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข และอีกอย่างก็เป็นความตั้งใจของตนเองที่ให้ที่ชาวบ้านไปทำ การที่เขาแบ่งข้าวให้ก็เหมือนเขาให้ค่าเช่า เพียงแต่ให้เป็นข้าวที่ได้จากผลผลิต และปอ ยังได้น้อมนำเอาพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ด้านการทำการเกษตรมาเป็นแนวทางในการจัดการไร่นาอีกด้วย "ตอนนี้มุ่งเน้นที่จะทำเกษตรอินทรีย์ปลูกข้าวปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเอาแนวคิดของในหลวงมาทำครับ ก็คือทำเกษตรก็ต้องมีน้ำ เพราะถ้ามีน้ำเราจะปลูกอะไรก็ได้ ผมก็เลยแบ่งที่อีกส่วนหนึ่งไปทำที่เก็บน้ำ ซึ่งสามารถใช้ได้ตลอดทั้งปีในเฉพาะพื้นที่ของเรา อันนี้เป็นแนวคิดของท่านเลยครับ”


ขณะที่ โบว์ แวนด้า สหวงษ์ ภรรยาของ ปอ ทฤษฎี เผยกับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ว่า "พี่ปอทำมาโดยตลอด เขาริเริ่มทำโครงการนี้ตั้งเล่นละครเรื่องผู้ใหญ่ลีกับนางมา แล้วก็นำแนวคิดจากตรงนั้นกลับมาทำ สิ่งที่ทำในไร่เขาเดินตามในหลวงทั้งหมด ทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่พี่ปออยู่ และกำลังสำคัญก็คือคุณปู่ (คุณพ่อสงวน สหวงษ์) คุณปู่เป็นแรงหลักสำคัญคอยดูแลตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งคุณปู่จะป่วยตลอด เพราะท่านเกษียณแล้วไม่ได้ทำอะไร พี่ปอรู้ว่าคุณพ่อชอบทำไร่ทำนา ก็เลยทำไร่นาป่าสงวนขึ้นมาให้คุณพ่อ หลังจากที่คุณพ่อได้ทำไร่นี้ก็ไม่ป่วยเลย เพราะได้ทำนู้นทำนี้เป็นการออกกำลังกายและกำลังใจ ได้ปลูกต้นไม้ ดูแลไร่ ตรงนี้ก็เหมือนพี่ปอได้สร้างความสุขให้กับคุณพ่อด้วย พี่ปอเองเขามีความสุขกับไร่นาป่าสงวนของเขามาก ทุกครั้งที่ไป เขาจะมีจักรยานอยู่คันหนึ่ง ขี่ไปดูทั่วไร่ ยืนดูไร่ สีหน้าและแววตาบอกได้เลยว่าเขามีความสุขกับไร่นาป่าสงวนจริงๆ"


เทพ โพธิ์งาม ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อท้อแท้
ตลกรุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมาหลายสิบปี เทพ โพธิ์งาม ตัวของป๋าเทพเองนั้นมีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจเพื่อรองรับการเป็นนักแสดง ซึ่งเจ้าตัวทำมาแล้วกว่า 10 อาชีพ ทั้งอู่ซ่อมรถ, ร้านขายของชำ, ร้านเสริมสวย, จัดสรรอาคารพาณิชย์, ทำน้ำข้าวกล้อง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เป็นหนี้และถูกฟ้องล้มละลาย จนเจ้าตัวเคยประกาศอำลาวงการบันเทิงไปช่วงหนึ่ง เพื่อผันตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่กับไร่อยู่กับนา ที่หมู่บ้านไผ่สามเกาะ หมู่ 7 ต.เขาขลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี กับสัตว์เลี้ยงที่ดูแลอยู่หลายสิบตัว โดย เทพ โพธิ์งาม กล่าวว่า ตนเองมีอายุมากแล้ว จึงอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับสัตว์เลี้ยงในไร่ เพื่อหาความสุขในช่วงบั้นปลายชีวิต เพราะในเมืองแออัด อากาศไม่บริสุทธิ์ และความสุขไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมือง เลยคิดเตรียมหาอาชีพใหม่หลังจากขายบ้านเพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาอยู่ที่ไร่ อยู่กับสัตว์เลี้ยง ใช้ชีวิตอย่างชาวไร่ ตัดหญ้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย และไม่เคยคิดจะขาย แม้ตนเองจะต้องแบกภาระค่าเลี้ยงสัตว์ ทั้ง วัว ควาย ไก่ ปลา และสุนัข อีก 25 ตัว เป็นจำนวนเงินเดือนละ 1 แสนกว่าบาท จนต้องแบ่งขายที่ดินออกไปเรื่อยๆ จากเดิมมีอยู่ 50 ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 20 ไร่เท่านั้น แต่ก็ไม่คิดจะขายสัตว์เลี้ยงถึงแม้จะมีคนให้ราคาเป็นล้าน เนื่องจากมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกัน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ป๋าเทพก็ได้กลับเข้าสู่ชีวิตคนเมืองอีกครั้ง ด้วยการทำธุรกิจร้านหมูกระทะ แต่ทำไปได้สักพักก็ต้องปิดตัวลง ขาดทุนเป็นล้าน จนทำให้เจ้าตัวยอมถอยออกมา และหันไปคิดทำอาชีพอื่นต่อไป ป๋าเทพไม่ยอมถอย หันมาเปิดร้านเล็กๆ ขายอาหาร แต่ด้วยมีข้าวของที่เหลือจากร้านหมูกระทะมาทำขนมได้ มีทั้งเครื่องอบ เครื่องนวดแป้ง โต๊ะ เก้าอี้มือสองจากร้านเดิม และเด็กช่วยงานอีก 3-4 คนที่ตามมาอยู่ด้วย เมื่อเปิดร้านได้ไม่นานและมีคนที่มาอุดหนุนได้ถ่ายรูปและเอาไปโพสต์ลงโซเชียล ทำให้เกิดการแชร์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีออร์เดอร์ขนมเปี๊ยะเกือบ 2 พันกว่ากล่อง แต่ก็มีบ้างที่คิดว่าทำไม่ได้ จึงปฏิเสธลูกค้าไป ตอนนี้ ขนมเปี๊ยะ ครัวคุณเทพ ก็กลายเป็นจุดขายของร้านโดยที่ป๋าไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น หากถามว่ากลัวเจ๊งอีกรอบหรือไม่ ป๋าเทพยืนยันว่า ล้มจนไม่รู้จะล้มยังไงแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ล้มแบบนี้อีก 10 หนก็ไม่เจ็บปวด
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ เคยถามป๋าเทพว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีล้มลุกคลุกคลานมาตลอด สิ่งไหนที่ทำให้ป๋าเสียใจมากที่สุด เจ้าตัวก็บอกว่า “ไม่ล่ะ มันชินแล้ว (ยิ้ม) การร้องไห้เสียใจมันไม่ใช่นิสัยป๋าหรอก มันเจอมาเยอะ คิดมาบ่อย เจออีก มันเป็นปกติแล้ว ไม่รู้จะคิดทำไม ปล่อยๆ มันไปดีกว่าว่ามันจะดีหรือไม่ดี แล้วค่อยคิดต่อยอด รอให้มันเป็นก้อนก่อน เมื่อไหร่ที่มันเป็นลมๆ แล้งๆ อย่าเพิ่งไปคิดมัน ปล่อยไปตามวิถีที่เขาลิขิตมาดีกว่า ถ้าเราไปดิ้นมากเกินไปมันจะพลาดได้ มันกะยาก ต้องไปตามเวลาของเขาที่ให้มามันถึงจะเข้าล็อก สังเกตแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำใจแล้ว ถ้าเราทำได้อย่างที่บอกมันจะทำให้ใจเราเย็นขึ้น ถ้าใจร้อนก็จะเหมือนเก่าคือเจ๊ง”
ชีวิตไม่ต้องมีมากจนเกินตัว เดินตามรอยพ่อ แค่มีอย่างพอเพียง ก็จะสุขอย่างเพียงพอ.
ที่มา https://www.thairath.co.th/content/754997

No comments:

Post a Comment