Header Ads

Sunday, October 8, 2017


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้คนไทยครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2517 ดังพระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 ความว่า
"…การพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐาน คือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เป็นเบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและใช้อุปกรณ์ที่ประหยัด แต่ถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อพื้นฐานมั่นคงพร้อมพอควรและปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญและฐานะเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป หากมุ่งแต่จะสร้างความเจริญ ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว โดยไม่ให้แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศและของประชาชนโดยสอดคล้องด้วย ก็จะเกิดความไม่สมดุลในเรื่องต่างๆ ขึ้น ซึ่งอาจกลายเป็นความยุ่งยากล้มเหลวได้ในที่สุด ดังเห็นได้ที่อารยประเทศหลายประเทศกำลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงอยู่ในเวลานี้..."


"เศรษฐกิจพอเพียง" ไม่จำเป็นต้องต่อต้านกระแสโลกาภิวัตน์หรือสิ่งทันสมัยต่างๆ ทุกคนในสังคมสามารถนำไปใช้ได้ แต่มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นการใช้จ่ายอย่างขี้เหนียว การห้ามเป็นหนี้ การยอมรับสภาพ หรือการไม่ขวนขวายทำสิ่งใด ความหมายที่ลึกซึ้งของเศรษฐกิจพอเพียง คือ การคำนึงถึงความพอประมาณ คือ ให้ทำอะไรด้วยความพอดี ไม่มาก หรือน้อยเกินไป และต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ดำเนินชีวิตให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท อันจะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง เปรียบเสมือนการสร้างเสาเข็ม สร้างฐานให้แข็งแรงมั่นคง ไม่ว่าพายุใดๆ เข้ามา หรือจะต่อเติมสร้างเพิ่มในภายหลัง บ้านก็จะยังคงยืนหยัดอยู่ได้
ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ทีมข่าวบันเทิงไทยรัฐออนไลน์ ขอกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม ขอนำเสนอบุคคลต้นแบบของวงการบันเทิง ที่ได้นำพระราชดำรัสเรื่อง การกินอยู่อย่างพอเพียง มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
หลายคนมักเข้าใจว่า การใช้ชีวิตพอเพียง มีความหมายแค่การอยู่อย่างประหยัด ไม่ใช้เงินเยอะ ไม่ช็อปปิ้งบ่อย และไม่ใช้เงินในสิ่งที่ไม่จำเป็น ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว การใช้ชีวิตพอเพียงนั้นอาจครอบคลุมไปถึงวิธีคิด วิธีตัดสินใจเลือกสิ่งต่างๆ ให้เหมาะสมกับตัวเรา โดยไม่ได้มุ่งหวังความร่ำรวยในบั้นปลาย แต่มีเป้าหมายคือ ความสุขที่ยั่งยืนที่ไม่มีวันสูญหาย ไม่ว่าเงินในกระเป๋าจะเพิ่มหรือจะลดลง

ปอ ทฤษฎี พระเอกภูธรตามรอยพ่อหลวง
เริ่มต้นกับพระเอกผู้ล่วงลับที่หลายคนตั้งฉายาให้ "พระเอกภูธร" ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ที่แม้ตัวจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แต่ความดีนั้นยังอยู่เป็นที่จดจำในใจของใครหลายคน ฝากผลงานการแสดงไว้อย่างมากมายเมื่อคราวที่ยังมีชีวิตอยู่ และสร้างความประทับใจให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้าง ทุกคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาเป็นพระเอกที่ไม่ถือตัว และติดดิน
จากการเล่นละครเรื่อง "ผู้ใหญ่ลีกับนางมา" ปอได้เปลี่ยนแรงบันดาลใจของชาวนาในละครสู่ชาวนาในชีวิตจริง โดยใช้พื้นที่ที่บ้านเกิด คือจังหวัดบุรีรัมย์ มาทำไร่นาสวนผสม โดยตั้งชื่อว่า "ไร่นาป่าสงวน" ผืนนาแห่งนี้มีที่ดินจำนวนทั้งสิ้นกว่า 57 ไร่ ตั้งอยู่ในบ้านหนองค่าย ตำบลบ้านบัว อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักของครอบครัวสหวงษ์ไปเล็กน้อย ปอ ทฤษฎี ตั้งใจซื้อผืนนาแห่งนี้เก็บไว้เพื่อรองรับอาชีพนักแสดงและงานในวงการบันเทิงที่อาจไม่ยืนยาว และส่วนหนึ่งก็ตั้งใจซื้อให้คุณพ่อสงวน สหวงษ์ หลังจากเกษียณอายุราชการ แม้จะเป็นทรัพย์สมบัติของครอบครัวสหวงษ์ หากแต่สิ่งที่พระเอกหนุ่มคนนี้ต้องการฝากทิ้งไว้อย่างแท้จริงนั่นคือ การสืบทอดแนวคิดการทำการเกษตรแบบพอเพียง ตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
"ไร่นาป่าสงวน" แห่งนี้ พระเอกหนุ่มได้จัดสรรพื้นที่สำหรับปลูกข้าวจำนวน 10 ไร่ และดำเนินการตามแนวไร่นาสวนผสม โดยบริเวณคันนายังได้ปลูกพืชชนิดอื่นแซมไว้ ได้แก่ กล้วย ยางนา พื้นที่บางส่วนแบ่งปลูกยางพารา มะพร้าว พืชสวนอีกหลายชนิด เช่น ผักบุ้ง ผักกาด ฯลฯ และมีการขุดบ่อเลี้ยงปลา พร้อมกับปลูกบ้านหลังเล็กๆ ไว้สำหรับพักผ่อนของครอบครัว 1 หลัง โดย ปอ ทฤษฎี เคยเปิดเผยผ่านรายการ ทูไนท์โชว์ ว่า
"หลังจากผมซื้อที่มาแล้วก็เริ่มลงมือปรับหน้าดินเอง ขุดสระไว้กักเก็บน้ำและข้าง ๆ ก็ทำเป็นถนน จะบอกว่าสิ่งที่ผมทำไปทั้งหมดนี้ ผมทำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องของการแบ่งพื้นที่ไร่นา สวนผสม แบบสัดส่วน 30:30:10 เช่น ลูกตาลที่ได้จากต้นตาลถ้าเหลือกินเหลือใช้ก็จะเอาไปแบ่งให้คนอื่น เพราะไม่ได้ปลูกและมีพอให้ขาย ส่วนสระน้ำจะขุดเป็น 2 สระ โดยสระแรกเอาไว้ทำการเกษตร เพราะสิ่งแรกที่ต้องมีก็คือต้นทุน คือ น้ำ หากจะปลูกอะไรก็ต้องใช้น้ำและเลี้ยงปลาไปด้วย ที่สำคัญคือภาคอีสานเป็นภาคที่แห้งแล้ง แต่มีแค่สระเดียวก็เก็บน้ำไม่พอต้องขุดสระ 2 เอาไว้ผันน้ำเพื่อใช้ให้ทั่วถึง"
นอกจากนี้ ปอ ทฤษฎี ยังได้แบ่งพื้นที่บางส่วนให้ชาวนาได้ทำนาโดยไม่คิดค่าเช่าอีกด้วย ซึ่งเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ไม่ได้คิดค่าเช่าที่นา แต่ชาวนาก็เอาข้าวมาให้เรา มันคือการให้โอกาสคน ถ้าเก็บไว้ทำเองมันคงไม่ได้อะไรเยอะ แบ่งกันทำแบ่งกันกินจะได้อยู่กันอย่างมีความสุข และอีกอย่างก็เป็นความตั้งใจของตนเองที่ให้ที่ชาวบ้านไปทำ การที่เขาแบ่งข้าวให้ก็เหมือนเขาให้ค่าเช่า เพียงแต่ให้เป็นข้าวที่ได้จากผลผลิต และปอ ยังได้น้อมนำเอาพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ด้านการทำการเกษตรมาเป็นแนวทางในการจัดการไร่นาอีกด้วย "ตอนนี้มุ่งเน้นที่จะทำเกษตรอินทรีย์ปลูกข้าวปลอดสารพิษร้อยเปอร์เซ็นต์ ผมเอาแนวคิดของในหลวงมาทำครับ ก็คือทำเกษตรก็ต้องมีน้ำ เพราะถ้ามีน้ำเราจะปลูกอะไรก็ได้ ผมก็เลยแบ่งที่อีกส่วนหนึ่งไปทำที่เก็บน้ำ ซึ่งสามารถใช้ได้ตลอดทั้งปีในเฉพาะพื้นที่ของเรา อันนี้เป็นแนวคิดของท่านเลยครับ”


ขณะที่ โบว์ แวนด้า สหวงษ์ ภรรยาของ ปอ ทฤษฎี เผยกับ บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ว่า "พี่ปอทำมาโดยตลอด เขาริเริ่มทำโครงการนี้ตั้งเล่นละครเรื่องผู้ใหญ่ลีกับนางมา แล้วก็นำแนวคิดจากตรงนั้นกลับมาทำ สิ่งที่ทำในไร่เขาเดินตามในหลวงทั้งหมด ทุกอย่างเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่พี่ปออยู่ และกำลังสำคัญก็คือคุณปู่ (คุณพ่อสงวน สหวงษ์) คุณปู่เป็นแรงหลักสำคัญคอยดูแลตลอด มีอยู่ช่วงหนึ่งคุณปู่จะป่วยตลอด เพราะท่านเกษียณแล้วไม่ได้ทำอะไร พี่ปอรู้ว่าคุณพ่อชอบทำไร่ทำนา ก็เลยทำไร่นาป่าสงวนขึ้นมาให้คุณพ่อ หลังจากที่คุณพ่อได้ทำไร่นี้ก็ไม่ป่วยเลย เพราะได้ทำนู้นทำนี้เป็นการออกกำลังกายและกำลังใจ ได้ปลูกต้นไม้ ดูแลไร่ ตรงนี้ก็เหมือนพี่ปอได้สร้างความสุขให้กับคุณพ่อด้วย พี่ปอเองเขามีความสุขกับไร่นาป่าสงวนของเขามาก ทุกครั้งที่ไป เขาจะมีจักรยานอยู่คันหนึ่ง ขี่ไปดูทั่วไร่ ยืนดูไร่ สีหน้าและแววตาบอกได้เลยว่าเขามีความสุขกับไร่นาป่าสงวนจริงๆ"


เทพ โพธิ์งาม ชีวิตไม่ได้เกิดมาเพื่อท้อแท้
ตลกรุ่นใหญ่ที่อยู่ในวงการมาหลายสิบปี เทพ โพธิ์งาม ตัวของป๋าเทพเองนั้นมีความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจเพื่อรองรับการเป็นนักแสดง ซึ่งเจ้าตัวทำมาแล้วกว่า 10 อาชีพ ทั้งอู่ซ่อมรถ, ร้านขายของชำ, ร้านเสริมสวย, จัดสรรอาคารพาณิชย์, ทำน้ำข้าวกล้อง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เป็นหนี้และถูกฟ้องล้มละลาย จนเจ้าตัวเคยประกาศอำลาวงการบันเทิงไปช่วงหนึ่ง เพื่อผันตัวเองไปใช้ชีวิตอยู่กับไร่อยู่กับนา ที่หมู่บ้านไผ่สามเกาะ หมู่ 7 ต.เขาขลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี กับสัตว์เลี้ยงที่ดูแลอยู่หลายสิบตัว โดย เทพ โพธิ์งาม กล่าวว่า ตนเองมีอายุมากแล้ว จึงอยากใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่กับสัตว์เลี้ยงในไร่ เพื่อหาความสุขในช่วงบั้นปลายชีวิต เพราะในเมืองแออัด อากาศไม่บริสุทธิ์ และความสุขไม่จำเป็นต้องอยู่ในเมือง เลยคิดเตรียมหาอาชีพใหม่หลังจากขายบ้านเพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาอยู่ที่ไร่ อยู่กับสัตว์เลี้ยง ใช้ชีวิตอย่างชาวไร่ ตัดหญ้า เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย และไม่เคยคิดจะขาย แม้ตนเองจะต้องแบกภาระค่าเลี้ยงสัตว์ ทั้ง วัว ควาย ไก่ ปลา และสุนัข อีก 25 ตัว เป็นจำนวนเงินเดือนละ 1 แสนกว่าบาท จนต้องแบ่งขายที่ดินออกไปเรื่อยๆ จากเดิมมีอยู่ 50 ไร่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 20 ไร่เท่านั้น แต่ก็ไม่คิดจะขายสัตว์เลี้ยงถึงแม้จะมีคนให้ราคาเป็นล้าน เนื่องจากมีความสุขที่ได้อยู่ร่วมกัน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ป๋าเทพก็ได้กลับเข้าสู่ชีวิตคนเมืองอีกครั้ง ด้วยการทำธุรกิจร้านหมูกระทะ แต่ทำไปได้สักพักก็ต้องปิดตัวลง ขาดทุนเป็นล้าน จนทำให้เจ้าตัวยอมถอยออกมา และหันไปคิดทำอาชีพอื่นต่อไป ป๋าเทพไม่ยอมถอย หันมาเปิดร้านเล็กๆ ขายอาหาร แต่ด้วยมีข้าวของที่เหลือจากร้านหมูกระทะมาทำขนมได้ มีทั้งเครื่องอบ เครื่องนวดแป้ง โต๊ะ เก้าอี้มือสองจากร้านเดิม และเด็กช่วยงานอีก 3-4 คนที่ตามมาอยู่ด้วย เมื่อเปิดร้านได้ไม่นานและมีคนที่มาอุดหนุนได้ถ่ายรูปและเอาไปโพสต์ลงโซเชียล ทำให้เกิดการแชร์เป็นจำนวนมาก จึงได้มีออร์เดอร์ขนมเปี๊ยะเกือบ 2 พันกว่ากล่อง แต่ก็มีบ้างที่คิดว่าทำไม่ได้ จึงปฏิเสธลูกค้าไป ตอนนี้ ขนมเปี๊ยะ ครัวคุณเทพ ก็กลายเป็นจุดขายของร้านโดยที่ป๋าไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็น หากถามว่ากลัวเจ๊งอีกรอบหรือไม่ ป๋าเทพยืนยันว่า ล้มจนไม่รู้จะล้มยังไงแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ล้มแบบนี้อีก 10 หนก็ไม่เจ็บปวด
บันเทิงไทยรัฐออนไลน์ เคยถามป๋าเทพว่า ตลอดชีวิตที่ผ่านมา มีล้มลุกคลุกคลานมาตลอด สิ่งไหนที่ทำให้ป๋าเสียใจมากที่สุด เจ้าตัวก็บอกว่า “ไม่ล่ะ มันชินแล้ว (ยิ้ม) การร้องไห้เสียใจมันไม่ใช่นิสัยป๋าหรอก มันเจอมาเยอะ คิดมาบ่อย เจออีก มันเป็นปกติแล้ว ไม่รู้จะคิดทำไม ปล่อยๆ มันไปดีกว่าว่ามันจะดีหรือไม่ดี แล้วค่อยคิดต่อยอด รอให้มันเป็นก้อนก่อน เมื่อไหร่ที่มันเป็นลมๆ แล้งๆ อย่าเพิ่งไปคิดมัน ปล่อยไปตามวิถีที่เขาลิขิตมาดีกว่า ถ้าเราไปดิ้นมากเกินไปมันจะพลาดได้ มันกะยาก ต้องไปตามเวลาของเขาที่ให้มามันถึงจะเข้าล็อก สังเกตแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำใจแล้ว ถ้าเราทำได้อย่างที่บอกมันจะทำให้ใจเราเย็นขึ้น ถ้าใจร้อนก็จะเหมือนเก่าคือเจ๊ง”
ชีวิตไม่ต้องมีมากจนเกินตัว เดินตามรอยพ่อ แค่มีอย่างพอเพียง ก็จะสุขอย่างเพียงพอ.
ที่มา https://www.thairath.co.th/content/754997


เราสามารถเพิ่มปริมาณจำนวนดอกดาวเรืองในหนึ่งต้นให้ได้จำนวนมากขึ้นได้ โดยวิธีง่ายๆที่เรียกว่า การเด็ดยอด

การเด็ดยอด เป็นหนึ่งในการเพิ่มผลผลิตที่เกษตรกรผู้ผลิตดอกดาวเรืองจำหน่ายรู้จักกันดี ในจำนวน 1 ต้นจะให้ดอกได้มากถึง 10 ดอกเลยทีเดียว ซึ่งครานี้ สอบถามไปยังสำนักงานเกษตรพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรมส่งเสริมการเกษตร ถึงวิธีการเด็ดยอด ที่ถูกต้องเพื่อให้ได้จำนวนดอกดาวเรืองในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งการเด็ดยอดอย่างถูกวิธีมีขั้นตอนมีดังนี้

1. เลือกต้นดอกดาวเรืองหลังจากปลูกลงดินที่มีอายุประมาณ 23-25 วัน หรือหากลืมนับอายุวันที่ปลูกให้สังเกตจำนวนใบคือจะมีใบจริงประมาณ 4 คู่ แต่จะรู้อย่างไรว่าใบจริงคือตรงไหน ให้ดูที่ลำต้นของดาวเรือง หากแตกใบเป็นคู่ๆ ประมาณ 3-4 คู่ เป็นอันใช้ได้

2. เมื่อได้ต้นดาวเรืองที่มีอายุพอเหมาะแล้ว ใช้มือรวบส่วนโคนของยอดแล้วเด็ดยอดนั้นออก (ดังรูปด้านบน)

3 ยอดที่เด็ดออกสามารถนำไปปลูกต่อได้โดยวิธีปักชำในดิน ก็จะได้ต้นดาวเรืองเพิ่มอีกโดยไม่ต้องรอเพาะเมล็ด
4. หลังจากเด็ดยอดประมาณ 15 วัน ต้นดาวเรืองจะแตกกิ่งข้างประมาณ 8-10 กิ่ง โดยแต่ละกิ่งจะมียอดอ่อนที่จะออกดอก 1 ดอก สามารถเด็ดยอดต่อเพื่อเพิ่มจำนวนได้ แต่จะมีผลต่อขนาดของดอกและใช้เวลาในการออกดอกนานเพิ่มขึ้นด้วย

5. ในขณะที่ดาวเรืองออกดอกเท่าเมล็ดข้าวโพด ทุกง่ามใบจะแตกยอดอ่อนซึ่งจะเจริญเติบโตเป็นดอกต่อไป ควรเด็ดยอดเหล่านั้นทิ้งเพื่อให้แต่ละต้นออกดอกในประมาณที่พอเหมาะจะได้ขนาดดอกที่สมบูรณ์ตามสายพันธุ์ แต่หากอยากได้ปริมาณมากก็สามารถปล่อยให้ยอดอ่อนเหล่านั้นเติบโตมากขึ้นได้
6. เมื่อต้นดาวเรืองเริ่มออกดอกเป็นตุ้มเล็กๆ ให้ใส่ปุ๋ยบำรุงดอกที่มีโปรแตสเซียมสูงอย่าง 8-24-24  และรดน้ำเป็นประจำ เพียงเท่านี้ก็ได้ดาวเรืองดอกโตสวยงาม
เรื่อง : JOMM YB.
ภาพ : ฝ่ายภาพบ้านและสวน
ขอบคุณข้อมูลจาก : สำนักงานเกษตรพื้นที่กรุงเทพมหานคร กรมส่งเสริมการเกษตร 


Thursday, August 17, 2017

เกษตรกรรม เป็นกิจกรรมการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และประมง แต่การเลือกทำเพียงกิจกรรมเดียว จะมีความเสี่ยงค่อนข้างสูงที่จะไม่ได้รับผลผลิตเมื่อต้องประสบกับภัยสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ แต่ถ้าเลือกทำ “เกษตรผสมผสาน” คือมีตั้งแต่ กิจกรรมขึ้นไป มีการวางแผนการผลิต ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิต ความเสี่ยงก็ลดลง ในสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจแปรปรวนเกษตรผสมผสานจึงเป็นทางเลือกในการยกระดับรายได้เพื่อนำไปสู่การดำรงชีพที่มั่นคง วันนี้จึงนำเรื่อง เกษตรผสมผสาน วิถีพอเพียง บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่สิงห์บุรี มาบอกเล่าสู่กัน คุณยศพนธ์ ทัพพระจันทร์ เกษตรจังหวัดสิงห์บุรี เล่าให้ฟังว่า จังหวัดสิงห์บุรีมีพื้นที่การเกษตร 418,781 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ทำนา 377,826 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชไร่ 11,002 ไร่ พื้นที่ปลูกพืชสวน เช่น ปลูกไม้ผล พืชผัก 26,895 ไร่ พื้นที่เลี้ยงสัตว์ 1,189 ไร่ และพื้นที่ประมง 1,869 ไร่ ประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม ทั้งทำการเกษตรเชิงเดี่ยว ทำไร่นาสวนผสม หรือเกษตรผสมผสาน เกษตรผสมผสาน เป็นงานเกษตรที่ทำตั้งแต่ 2 กิจกรรม ขึ้นไป เพื่อลดความเสี่ยง โดยได้ส่งเสริมให้เกษตรกรปฏิบัติตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ให้วางแผนการปลูกและผลิต ปฏิบัติดูแลบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิต ให้ผลิตในระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP (Good Agricultural Practice) ที่ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ หรือเป็นสินค้าโอท็อป (OTOP) ที่ตลาดต้องการ ทำให้เกษตรกรยกระดับรายได้ เพื่อการดำรงชีพที่มั่นคง ร้อยตรีบัญชา เพ็ชรรักษ์ ผู้ทำเกษตรผสมผสาน เล่าให้ฟังว่า จากที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เมื่อเกษียณก็ได้ผันตัวออกมาเป็นชาวบ้านเป็นเกษตรกร เบื้องต้นจึงต้องเรียนรู้เสริมสร้างประสบการณ์งานด้านเกษตรให้ชำนาญ สืบค้นข้อมูลด้านวิชาการเกษตรจากแหล่งวิชาการ ขอรับคำแนะนำจากสำนักงานเกษตรจังหวัดสิงห์บุรี เมื่อได้ข้อมูลพอแล้ว ได้ตัดสินใจทำเกษตรผสมผสาน ทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ เพื่อลดความเสี่ยง ให้มีผลผลิตบริโภคหรือเหลือขาย
การดำเนินงาน ได้จัดการใช้ประโยชน์ พื้นที่ 2 ไร่ ที่มีพื้นที่ส่วนที่หนึ่งเป็นบ้านพัก ส่วนที่สองจัดเป็นพื้นที่ปลูกไม้ผลและพืชผัก ส่วนที่สามจัดเป็นคอกเลี้ยงหมู เป็ด และไก่ จัดให้มีแหล่งน้ำใช้ในการผลิตเกษตร
คือ การเลี้ยงหมูแม่พันธุ์และเลี้ยงหมูขุน ได้สร้างโรงเรือนห่างจากบ้านพักและเป็นที่ดอน น้ำไม่ขัง เมื่อล้างทำความสะอาดพื้นคอกหมู มูลหมูที่เก็บได้ใส่น้ำหมักชีวภาพลงไปคลุกเคล้าเพื่อกำจัดกลิ่นและป้องกันแมลงวันเข้ามารบกวน ส่วนมูลหมูที่ตากแห้งได้นำไปใช้ในแปลงเกษตร อีกส่วนหนึ่งขาย การเลี้ยงหมูมี ดังนี้
การเลี้ยงแม่พันธุ์หมู ได้คัดเลือกแม่พันธุ์หมูมาเลี้ยง 3 วิธี คือ
  1. ซื้อลูกหมูขุนจากฟาร์ม คัดเลือกตัวที่มีน้ำหนัก ประมาณ 90 กิโลกรัม หรืออายุ 4 เดือน นับจากวันอย่านม มีลักษณะดีเช่น มีเต้านม 13 เต้า ขึ้นไป หัวนมไม่บอด แผ่นหลังกว้าง ขาหลังใหญ่ตรง แข็งแรง
  2. ซื้อแม่พันธุ์หมูที่แหล่งพันธุ์ดี คัดเลือกขนาด อายุ น้ำหนักและใกล้เป็นสัด มีข้อดีคือ โครงร่างใหญ่ ให้ลูกดก
  3. เลือกซื้อลูกหมูที่เกิดจากแม่พันธุ์ดี ราคาถูก สุขภาพดี ไม่อ่อนแอ และต้านทานโรค
การเลี้ยงหมูขุน นำลูกหมูอย่านมเข้าคอก ติดป้ายระบุวันอย่านมไว้ที่คอก เพื่อการดูแลและกำหนดวันจับขาย ช่วงแรกที่เลี้ยงได้ให้อาหารหมูเล็กหรือให้กินกล้วยน้ำว้าสุกบ้าง เพราะลูกหมูยังหากินไม่เก่ง ช่วงอดนม 2-3 วัน ต้องปอกเปลือกกล้วยสุกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ให้กิน ถ้าลูกหมูท้องเสียให้ลดอาหาร เมื่อดีขึ้นก็ให้กินอาหารเหมือนเดิม แต่ถ้าไม่ดีขึ้นต้องใช้ยาฉีด หมูที่มีน้ำหนัก 15 กิโลกรัม ขึ้นไป ได้เปลี่ยนเป็นอาหาร เบอร์ 2 มาผสมให้กิน เมื่อได้น้ำหนัก 30 กิโลกรัม ได้เปลี่ยนเป็นอาหาร เบอร์ 3 มาผสมให้กิน และเมื่อหมูน้ำหนัก 50 กิโลกรัม เปลี่ยนมาผสมอาหารปกติให้กิน ได้สร้างบ่อบำบัดอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพื้นคอกหมู เพื่อให้น้ำที่ล้างทำความสะอาดไหลลงบ่อได้ง่าย ฉาบด้วยปูนซีเมนต์ด้านในวงบ่อซีเมนต์ป้องกันน้ำซึมเข้าและป้องกันกลิ่นไปรบกวนเพื่อนบ้าน และเมื่อมูลหมูเต็มบ่อได้สูบขึ้นมาใช้ประโยชน์ในการปลูกพืช
ร้อยตรีบัญชา เล่าให้ฟังในท้ายนี้ว่า อีกกิจกรรมหนึ่งคือ เลี้ยงไก่ไข่ 15 ตัว มีไข่ให้เก็บ 10-14 ฟอง ต่อวัน วิธีเลี้ยงได้ปล่อยไก่ไปหากินเศษอาหารที่ตกหล่นจากการเลี้ยงหมูหรือเศษพืชผักผลไม้เพื่อลดต้นทุนค่าอาหารเม็ด และได้จัดอาหารเม็ดให้ไก่กินเพื่อเสริมให้เพียงพอต่อการเจริญเติบโตให้ผลผลิตคุณภาพ
การปลูกพืช ได้ปลูกพืชอายุสั้นที่ให้ผลผลิตไวได้เก็บกินในครัวเรือนก่อน เหลือก็นำออกขายให้กับพ่อค้าในหมู่บ้านนำไปขายต่อที่ตลาดสิงห์บุรี พืชผักที่ปลูก เช่น ผักโขม ผักสลัด มะเขือ กะเพรา ข่า ตะไคร้ หรือดอกชมจันทร์ ส่วนไม้ผลที่ปลูก เช่น มะม่วง ฝรั่ง กล้วยหอม กล้วยเล็บมือนาง มะละกอ หรือมะนาว ปลูกมะนาวในวงบ่อซีเมนต์ เวลานี้มีผลมะนาวให้เก็บมากินและนำออกขาย ปลูกชมจันทร์ไม้เถาเลื้อยพืชผักสวนครัวที่ปลูกง่ายให้ดอกดก นำไปแกงส้มหรือลวกกินกับน้ำพริกได้รสแซบอร่อย ผักโขมเป็นพืชผักอีกชนิดที่กินอร่อยได้เก็บบรรจุใส่ถุงไปวางขายตลาดผู้ซื้อชอบมาก พืชผักและไม้ผลจะมีผลผลิตให้ทยอยเก็บได้ต่อเนื่องทุกวัน
การทำเกษตรผสมผสาน ได้จดบันทึกทุกกิจกรรมเพื่อนำข้อดี ข้อด้อย มาเป็นแนวทางแก้ไขปรับปรุงวิธีผลิตและการผลิตในระบบเกษตรดีที่เหมาะสม หรือ GAP (Good Agricultural Practice) ได้ผลผลิตดี มีคุณภาพ จึงได้รับการรับรองให้เป็นสินค้าเกษตรดีมีคุณภาพ จากกรมวิชาการเกษตร และการก้าวสู่ความสำเร็จมีผลผลิตให้เก็บกินหรือนำไปขายเป็นรายได้ เป็นเกษตรผสมผสานตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ที่ทำให้วิถีการดำรงชีพมีความมั่นคง จากเรื่อง เกษตรผสมผสาน วิถีพอเพียง บนพื้นที่ 2 ไร่ ที่สิงห์บุรี ได้จัดการพื้นที่ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ใช้ปัจจัยผสมผสานเพื่อลดต้นทุนการผลิตที่ได้ผลตอบแทนคุ้มทุนหรือจดบันทึกกิจกรรม เป็นวิถีการดำรงชีพที่มั่นคง
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ร้อยตรีบัญชา เพ็ชรรักษ์ เลขที่ 20/1 หมู่ที่ 6 ตำบลพวกรวม อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี โทร. (081) 291-9687 หรือที่สำนักงานเกษตรจังหวัดสิงห์บุรี โทร. (036) 813-488 ก็ได้เช่นกันครับ

Sunday, March 27, 2016

วิธีการตอนกิ่งไผ่


หัวข้อนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ภาพเป็นสื่ออธิบายเสียมากกว่านะครับ  เพราะผมไม่มีประสบการณ์  เนื่องจากได้ทดลองค้นหา "การตอนกิ่งไผ่" หรือ "วิธีตอนกิ่งไผ่" จากอินเทอร์เน็ตแล้ว  ปรากฎว่า  "ไม่เจอ"  เลยจำต้องมาเขียนไว้ในหัวข้อนี้  เพื่อเป็นความรู้สำหรับสมาชิกที่ต้องการจะนำไปต่อยอด  หรือ ขยายพันธุ์ไผ่ของตัวเอง  หากสมาิชิกท่านใดเห็นว่ามีข้อบกพร่อง  ก็ช่วยๆ กันแนะนำเพิ่มเติมได้  ผมคิดเองคนเดียว  คงมีจุดบกพร่องเยอะเหมือนกัน


สำหรับวัสดุและอุปกรณ์ในการตอนกิ่งไผ่ 
1. ขุยมะพร้าว
2. ถุงพลาสติก ขนาด 3x5 หรือ ตามขนาดของกิ่งไผ่
3. เชือกฟาก หรือ ด้าย หรือ ตอก หรือ ตัวรัด (เหมือนในภาพ)
4. มีดพร้า หรือ ขวานเล็กๆ  สำหรับการผ่าตากิ่งไผ่

วิธีตอนกิ่งไผ่ 
1. นำขุยมะพร้าวแช่น้ำไว้ให้ชุ่ม หรือจะแช่ไว้สักคืนหนึ่งก็ได้นะครับ
2. นำขุยมะพร้าวใส่ถุงพลาสติก (ดังภาพ) รัดปากให้แน่นด้วยหนังยางหรือเชือกฟาง
 3. ใช้มีดผ่าครึ่งถุงพลาสติก เพื่อเปิดช่องไว้สำหรับทางกิ่งไผ่
4. ใช้มีดผ่ากิ่งไผ่  จากด้านบนลงสู่ด้านล่าง  อย่าให้ขาดนะครับ  ให้เหลือเปลือกไผ่บางๆ ติดกับลำต้นไว้
5. นำถุงพลาสติกห่อขุยมะพร้าวที่เตรียมไว้หุ้มกิ่งไผ่ส่วนโคนที่ถูกผ่าออก  แล้วมัดด้วยเชือกฟาง หรือ สายรัด ผูกแน่นติดกับลำไผ่




6. เมื่อรากของกิ่งไผ่ออกเต็มแล้ว ก็ให้ตัดกิ่งลงมาเตรียมเพาะชำ  โดยให้เหลือปล้องไว้ 2-3 ปล้องครับ

เทคนิคการตอนกิ่งไผ่
1- หากต้องการให้รากของกิ่งไผ่ออกเร็วๆ เปลือกไผ่ส่วนที่ติดกับลำต้นไม้ควรให้เหลือมากเกินไป ควรเหลือไว้นิดเดียว
2- หากไม่ต้องการให้รากของไผ่ออกเร็ว  ก็ไม่ต้องทำตามแบบข้อ 1

ที่มา : http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=132.0

Sunday, March 20, 2016

 อัตราส่วน ต่อน้ำประมาณ 100 ลิตร


1. กากน้ำตาล 10 ลิตร
2. EM 1 ลิตร
3. นมเปรี้ยว,นมข้ม หรือนมอะไรก็ได้ที่ทีรสหวาน 
4. เศษ ใบไม้สด หรือใครจะใช้ผลไม้ เศษผัก ต่าง ๆ ได้ รวม ประมาณ 3 กิโลกรัม ควรใช้พืชท้องถิ่น ใกล้ ๆ พื้นที่จะทำการเพาะปลูกจะดีที่สุด
5. ถังน้ำ 100 ลิตร
วิธีทำ
1. ใส่เศษใบไม้ เศษผักเศษหญ้า ลงในถัง (แนะนำให้สับละเอียด)
2. ใส่กากน้ำตาล 1 ลิตรลงไป
3. ใส่นม 1 ลิตร ลงไป
4. เติม EM 1 ลิตร ลงถัง
5. เติมน้ำลงในถัง เกือบเต็มให้เหลือขอบถังไว้ประมาณสองข้อมือ คนให้เข้ากัน แล้วปิดฝาถังทิ้งไว้ 15 วัน ไม่ต้องสนิท
6. ครบ 15 วัน เปิดฝาถังดูว้ามีฝ้าขึ้นมาหรืเปล่า ถ้าขึ้นแสดงว่าใช้ได้ กลิ่นจะออกเปรี้ยว ๆ 

Saturday, March 19, 2016

นมเปรียง คือ
นมที่หมักด้วยจุลินทรีย์ ชนิดหนึ่ง เพื่อเก็บรักษานมไว้ได้นานและย่อยโปรตีนและไขมันให้เล็กลง เป็นส่วนผสมหนึ่งในการทำน้ำหมักจุลินทรีย์ ซึ่งเป็นส่วนผสมในการทำปุ๋ยชีวภาพหรือปุ๋ยหมักจุลินทรีย์อีกชั้นหนึ่ง


การทำนมเปรียง
ต้องหมักผลไม้รสเปรี้ยวใช้ลูกสด 5 ชนิด คือสมอ มะขามป้อม สมอไทย ลำดวนสุก ตะลิงปิง แยกหมัก ห้ามผสมกัน โดยใช้ผลไม้ 7 ส่วน น้ำอ้อยสด 3 ส่วน หมักในโหลนาน 45 วัน แล้วนำน้ำหมัก มาอย่างละส่วน เติมลงในนมสด อัตราส่วน นม 7 น้ำหมัก 3 หมักอย่างน้อย 3 วัน ตักไขมันที่ลอยบนหน้าออก เอาส่วนใสไปใช้งาน กลิ่นจะออกคล้ายๆ น้ำลูกยอ

Thursday, March 17, 2016

"จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง " PSB

.
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง (PhotoSynthetic Bacteria ; PSB) พบกระจายทั่วไปในธรรมชาติ ตามแหล่งน้ำจืด น้ำเค็ม ทะเลสาบทั้งน้ำเค็มและน้ำจืด น้ำพุร้อน และน้ำทะเลบริเวณขั้วโลกเหนือ นอกจากนี้ยังพบตามแหล่งน้ำเสีย บ่อบำบัดน้ำเสีย และดิน
.
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงสามารถใช้บำบัดน้ำเสียจากอาคารบ้านเรือน การเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมทางเคมีและปิโตรเลียม เป็นต้น
.
นอกจากนี้ ยังมีการนำมาใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร โดยเฉพาะการใช้เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว ซึ่งพบว่าสามารถเพิ่มผลผลิตข้าวได้มากถึงไร่ละ 20 – 30 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากดินในบริเวณรากข้าวในระยะข้าวตั้งท้องจะมีสภาวะแบบไม่มีออกซิเจนทำ ให้แบคทีเรียที่ในกลุ่มแอนแอโรบิคแบคทีเรีย (Anaerobic Bacteria) เจริญได้ดี สร้างก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟต์ (H2S) ซึ่งมีผลไปยับยั้งกระบวนการสร้างเมตาโบลิซึมของรากข้าว
.

แต่เมื่อนำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมาใส่ลงในดินในระยะเวลาดังกล่าว จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงจะเปลี่ยนไฮโดรเจนซัลไฟด์ให้อยู่ในรูปสารประกอบ ซัลเฟอร์ในรูปซัลเฟตที่ไม่เป็นพิษต่อราก จึงมีผลให้รากของต้นข้าวเจริญงอกงามมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและลักษณะของต้น ข้าวก็มีความแข็งแรง
.
นอกจากนี้เซลล์ของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ยังสามารถนำมาใช้เป็นแหล่งอาหารเสริมของสัตว์ได้เพราะเซลล์ของจุลินทรีย์ สังเคราะห์แสงจะประกอบด้วยโปรตีนสูงถึงร้อยละ 60-65 ซึ่งโปรตีนเหล่านี้ประกอบด้วยกรดอะมิโนที่จำเป็นครบถ้วน และยังมีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 กรดฟอลิค วิตามินบี 12 วิตามินซี วิตามินดี วิตามินอี รงค์วัตถุสีแดง (carotenoid) และสารโคแฟคเตอร์ เช่น ยูบิควิโนน (Ubiquinone) โคเอนไซม์คิว (Coenzyme-Q)
.
ประโยชน์ของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง PSB
.
1.ช่วยย่อยสลายของ เสียในแปลงนา โดยเฉพาะกลุ่มก๊าซไข่เน่า( ไฮโดรเย่นซัลไฟต์ ) โดยที่จุลินทรีย์จะเข้าไปทำลายพันธะทางเคมี โดยการกำจัด ก๊าซไฮโดรเย่น ซึ่งเป็นพันธะทางเคมีหลักของก๊าซไข่เน่า ( H2S ) โดยนำของเสียนั้นมาเป็นพลังงานใช้ในการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ และระหว่างกระบวนการที่กล่าวมานั้นจุลินทรีย์ได้ ขับของเสียออกมาให้อยู่ในรูปกลุ่ม โกสฮอร์โมน ที่มีรายละเอียดเบื้องต้น
2.ช่วย ลดสภาวะโลกร้อนได้อย่างมาก โดยเข้าไปทำลายพันธะเคมีของกลุ่มก๊าซมีเธน ( CH4 ) โดยการย่อยสลายก๊าซไฮโดรเย่น จึงทำให้โครงสร้างเสียไป เหลือแต่คาร์บอนซึ่งสามารถย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ ซึ่งแปลงนาโดยทั่วไปย่อมมีกลุ่มก๊าซของเสียอยู่แล้ว
3.ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคพืชได้ดี ทำให้เปลือกหรือลำต้นแข็งแรง ทนต่อการกัดกินของแมลง
4.ช่วยกระตุ้นเซลล์เจริญบริเวณปลายรากพืชให้ขยายตัวและแตกแขนงได้ดีทำให้มีรากฝอยที่หากินเก่งจำนวนมาก
จึงทำให้พืชสามารถเพิ่มผลผลิตได้ดีเนื่องจากการสะสมอาหารได้มาก
5.สามารถใช้แทนปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมซัลเฟตได้ โดยใช้หลักการย่อยสลายกลุ่มก๊าซของเสียให้เป็นธาตุอาหารหลักของพืชได้
6.เมื่อ ใช้เป็นประจำและต่อเนื่อง สามารถลดการใช้อาหารเสริม หรือปุ๋ยสูตรต่างๆลงได้ สูงสุด 50 % ทำให้ต้นทุนในการผลิตลดลงกำไรเพิ่มมากขึ้น
7.หากมีการนำจุลินทรีย์ไปใช้ผสมผสานร่วมกับน้ำหมักหรือปุ๋ยสูตรต่างๆ จะทำให้ผลผลิตยิ่งเพิ่ม และคุณภาพผลิตดีขึ้นตามด้วย
8.ช่วย ในการบำบัดน้ำเสีย ได้ทั้งกับ น้ำเสียที่อยู่ทั่วไปในท่อ รางน้ำ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ หรือ กับน้ำเสียที่เหลือจากอุตสาหกรรมการผลิต เช่น โรงงานผลิตแป้งมันสำปะหลัง โรงงานน้ำตาล โรงงานฟอกย้อมผ้า โรงงานอุตสาหกรรมเคมี โรงงานอุตสาหกรรมอาหารต่างๆ เป็นต้น

การใช้งาน
.
ด้านเกษตร
นาข้าว ใช้ 1 ลิตร ต่อ ไร่ สาดให้ทั่วไร่
สวน 50 CC ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดลงดินขณะเตรียมปลูก หรือฉีดทางลำต้นและรากทุกๆ 7-10 วัน
แปลงผักและดอกไม้ ใช้ 20 CC ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นลำต้นและรากทุกๆ 5-7 วัน
**ช่วยเร่งให้พืชออกดอก เช่น มะนาว มะเขือเทศ ส้ม มะม่วง มังคุด เป็นต้น
.
ด้านประมง
1. การเตรียมบ่อ ใช้จุลิทรีย์ 10 ลิตร ต่อไร่ สาดให้ทั่วบ่อ
2. ระหว่างการเลี้ยง ใช้จุลินทรีย์ 5 ลิตร ต่อไร่ สาดให้ทั่วบ่อ สัปดาห์ละครั้ง
.
เลี้ยงปลาสวยงาม
1.ตู้ปลาใหม่ 1 CC ต่อน้ำ 50 ลิตร ติดต่อกัน 5 วัน ต่อไป ใส่ 1 CC ทุกๆ 7 วัน
2.ตู้ปลาเก่า 2 CC ต่อน้ำ 50 ลิตร ติดต่อกัน 5 วัน ต่อไป ใส่ 1 CC ทุกๆ 7 วัน
3.บ่อปลาขนาดใหญ่ ใช้ 100 CC ต่อน้ำ 1 ตัน ติดต่อกัน 5 วัน ต่อไป ใส่ 100 CC ทุกๆ 7 วัน
.
การใช้กับฟาร์มปลา
• ช่วยเพิ่มอัตราการเก็บเกี่ยวและอัตราการรอดตาย
• ทำให้เนื้อปลามีคุณภาพดีขึ้น
• ทำให้ปลามีความแข็งแรงขึ้น
• ช่วยป้องกันโรคซึ่งมีสาเหตุเกิดจากแบคทีเรีย เช่น Bacillus และ mildew
• ช่วยย่อยขี้ปลาได้ดี
• ทำให้น้ำมีความสะอาด
.
.
ด้านบำบัดน้ำเสีย
น้ำเสียในครัวเรือน ใช้ 1 ลิตร ต่อน้ำ 1000 ลิตร

https://www.facebook.com/kasetporpeang.manback/posts/1674925976095723